อาชีพ ของ เจมส์ แฟรนโก

งานช่วงแรก

หลังจากการฝึกหัดนานกว่า 15 เดือน เขาเริ่มจะไปออดิชันในลอสแอนเจลิส รัฐแคลิฟอร์เนีย เขาได้ร่วมแสดงในบทนำในซีรีส์ทางโทรทัศน์ ที่ออกฉายอยู่ไม่กี่ตอนแต่ก็ได้รับเสียงวิจารณ์ที่ดี ในซีรีส์เรื่อง Freaks and Geeks[8] แฟรนโกอธิบายเกี่ยวกับซีรีส์นี้ว่า "เป็นอะไรที่สนุกที่สุดเรื่องหนึ่ง" ถือเป็นประสบการณ์ที่ดีที่เขาได้รับ[9] ในอีกบทสัมภาษณ์หนึ่ง แฟรนโกพูดว่า "เมื่อตอนที่เราทำ Freaks and Geeks ผมไม่เข้าใจเลยว่าหนังหรือทีวี เขาทำกันอย่างไร และผมก็แสดงออกมาแม้ว่าจะไม่มีกล้องจับที่ผม...ผมก็เริ่มแสดงสด แต่ก็ไม่ได้ดีอะไรมากมาย" [10]

บทหลักของเขาเรื่องแรกในภาพยนตร์ คือหนังโรแมนติกคอเมดี้ เรื่อง Whatever It Takes (2000) ที่เขาแสดงร่วมกับอดีตแฟนเก่า มาร์ลา โซโคลอฟฟ์[11][12] ต่อมาเขาได้แสดงในบทเจมส์ ดีน ภาพยนตร์โทรทัศน์แนวชีวประวัติ กำกับโดยมาร์ก ไรเดลล์ ในปี 2001[13][14] เคน ทักเกอร์แห่งหนังสือ เอนเทอร์เทนเมนต์วีกลี เขียนไว้ว่า "แฟรนโกสอบผ่านสบาย ๆ กับบทของดีน แต่แทนที่จะถูกควบคุมที่ดูไม่น่าเชื่อถือ เขากลับเป็นชายหนุ่มที่ไร้รากนั้น"[15] เขาได้รับรางวัลลูกโลกทองคำ[16] และยังได้รับการเสนอชื่อเข้าชิงรางวัลเอมมีและรางวัลแซกอวอร์ด อีกด้วย[17][18]

ไอ้แมงมุม และงานหลังจากนั้น

เดนิส โอ แฮร์ กับเจมส์ แฟรนโกในบทบาทภาพยนตร์ของกัส แวน แซงต์ เรื่อง Milk กำลังสนธนาหัวข้อ ฮาร์วีย์ มิลก์

ในปี 2002 เขาได้แสดงในภาพยนตร์ซูเปอร์ฮีโร เรื่อง ไอ้แมงมุม ที่ถือว่าเป็นภาพยนตร์ที่ประสบความสำเร็จในอาชีพของเขา โดยแฟรนโกรับบทเป็นแฮร์รี ออสบอร์น บุตรชายของตัวร้าย กรีน ก็อบลิน (วิลเลม เดโฟ) และเพื่อนรักที่เป็นไอ้แมงมุม (โทบีย์ แม็คไกวร์)[19] เดิมทีแฟรนโกได้ถูกพิจารณาไว้ในบทนำ ไอ้แมงมุม/ปีเตอร์ ปาร์กเกอร์ ในภาพยนตร์[20] แต่บทก็ตกไปอยุ่ที่โทบีย์ แม็คไกวร์ ด้านคำวิจารณ์ ท็อดด์ แม็กคาร์ธี แห่ง วาไรตี้ เขียนไว้ว่า "มีส่วนที่ดีที่สุด ที่เกิดขึ้นระหว่างแม็คไกวร์กับแฟรนโก ในหนังเรื่องนี้"[21] ไอ้แมงมุม ประสบความสำเร็จด้านรายได้และคำวิจารณ์เป็นอย่างดี[22] ภาพยนตร์ทำรายได้ 114 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ในสัปดาห์เปิดตัวในอเมริกาเหนือ และทำรายได้รวมที่ 822 ล้านดอลลาร์สหรัฐทั่วโลก[23] ในปีเดียวกัน แฟรนโกแสดงในหนังดราม่า เรื่อง City by the Sea (2002)[1][24] ปีถัดมาเขาแสดงร่วมในภาพยนตร์ของโรเบิร์ต อัลต์แมน ร่วมกับเนฟ แคมป์เบลล์ เรื่อง The Company (2003)[25]

จากการประสบความสำเร็จของภาพยนตร์ ไอ้แมงมุม ทำให้เขาได้แสดงบทบาทต่อในภาคต่อ ไอ้แมงมุม 2[26] ในปี 2004 ภาพยนตร์ได้รับเสียงวิจารณ์ที่ดีจากนักวิจารณ์[27] และเป็นข้อพิสูจน์ในด้านความสำเร็จอย่างมาก โดยทำสถิติใหม่ของหนังเปิดตัวสุดสัปดาห์ในบ็อกซ์ออฟฟิสในอเมริกาเหนือ[28] ด้วยยอด 783 ล้านดอลลาร์สหรัฐทั่วโลก กลายเป็นหนังที่ประสบความสำเร็จมากที่สุดเป็นอันดับ 2 ในปี 2004[23] ปีถัดมาเขาแสดงในภาพยนตร์สงครามเรื่อง The Great Raid รับบทเป็นร้อยเอกโรเบิร์ต พรินซ์ ของกองทัพอเมริกันในกองบัญชาการกองทัพที่ 6 ที่ได้วางแผนช่วยผู้ที่ถูกคุมขังในค่ายกักกันในคาบานาทวน ประเทศฟิลิปปินส์ ออกมา[29][30]

ในปี 2006 แฟรนโกแสดงร่วมกับไทรีส กิบสัน ใน Annapolis[31] ผู้กล้าในตำนาน ทริสตัน ใน Tristan & Isolde เป็นเรื่องราวความรักของ ทริสตันและอิโซต์ นำแสดงร่วมกับนักแสดงหญิงชาวอังกฤษ โซเฟีย ไมลส์[32] จากนั้นเขาได้ร่วมฝึกกับทีมสตันต์ที่ชื่อ "เดอะบลูแอนเจิลส์" และได้รับใบอนุญาตบิน สำหรับการเตรียมตัวในบทบาทเรื่อง Flyboys[33] ที่ออกฉายเมื่อเดือนกันยายน ค.ศ. 2006 ต่อมาในเดือนเดียวกันเขาปรากฏในภาพยนตร์แนวสยองขวัญเรื่อง The Wicker Man นำแสดงโดยนิโคลัส เคจ กำกับโดยซันนี[34] และเช่นเดียวกันในปี 2006 เขาปรากฏตัวในบทเล็ก ๆ ในภาพยนตร์แนวโรแมนติกคอเมดี้เรื่อง The Holiday[14][35]

ในปี 2007 เขากลับมารับบทแฮร์รี ออสบอร์น อีกครั้งใน ไอ้แมงมุม 3[36] บทวิจารณ์ของภาคนี้ตรงกันข้ามกับในสองภาคแรกที่ได้รับเสียงวิจารณ์ที่ดี[22][27] ไอ้แมงมุม 3 ได้รับเสียงวิจารณ์บวกลบปนกัน[37] ถึงกระนั้นภาพยนตร์ก็ทำรายได้ทั่วโลกได้ 891 ล้านดอลลาร์สหรัฐ และถือเป็นภาพยนตร์หนึ่งในซีรีส์ที่ประสบความสำเร็จที่สุด และถือเป็นภาพยนตร์ที่ทำรายได้สูงที่สุดของแฟรนโก จากข้อมูลปลายปี 2008[23] ในปีเดียวกันแฟรนโก แสดงในบทเล็ก ๆ ในภาพยนตร์ตลกเรื่อง Knocked Up[38]

เขาแสดงในภาพยนตร์เรื่อง Pineapple Express หนังตลกที่แสดงร่วมและร่วมเขียนบทกับเซธ โรเกน และผลิตโดยจัดด์ อแพโทว์ ทั้งคู่เคยร่วมงานกับแฟรนโกในภาพยนตร์ Freaks and Geeks[9][39] นักวิจารณ์ นิวยอร์กไทมส์ มาโนห์ลา ดาร์จิส เขียนไว้ว่า "เขาดูความสุขในบท ซอล ที่ดูสบาย ๆ น่าขัน และยังไม่สามารถระงับความเซ็กซี่ ทั้ง ๆ ที่มีม่านผมที่มันกับที่พักพุ ๆ พัง ๆ ที่มีค่าศูนย์ เกินกว่าผู้หญิงจะยอมรับได้ เป็นการแสดงที่ไม่น่าประทับใจที่ดูเกินพอ อีกทั้งทำให้หนังดูเป็นผู้เป็นคนเกินไป ทำเสียงฉุนเฉียวซึ่งกลายเป็นการสร่างเมาที่น่าผิดหวังและดูเครียด"[40] การแสดงจากภาพยนตร์เรื่องนี้ทำให้เขาได้รับการเสนอชื่อเข้าชิงรางวัลลูกโลกทองคำในสาขานักแสดงชายยอดเยี่ยมประเภทภาพยนตร์เพลงหรือตลก[16] ในปี 2008 เขามีผลงานในภาพยนตร์ของศิลปินที่ชื่อคาร์เตอร์ จัดการแสดงที่แกลเลอรี Yvon Lambert ในปารีส[41] และเมื่อวันที่ 20 กันยายน ค.ศ. 2008 เขาเป็นพิธีกรรายการ แซตเทอร์เดย์ไนต์ไลฟ์[42]

แฟรนโกแสดงร่วมกับ ฌอน เพนน์ จอช โบรลิน และเอไมล์ เฮิร์ช ในภาพยนตร์ชีวประวัติในปี 2008 ของฮาร์วีย์ มิลก์ เรื่อง Milk กำกับโดย กัส แวน แซงต์[43] เขารับบทเป็นสกอตต์ สมิธ คนรักของฮาร์วีย์ มิลก์ (เพนน์) คำวิจารณ์การแสดงเรื่องนี้ เคนเนธ ทูแรนแห่ง ลอสแอนเจลิสไทมส์ เขียนไว้ว่า "แฟรนโกดูเหมาะสมกับเขา (เพนน์) ในฐานะคนรักที่สุดท้ายก็มีชีวิตด้านการเมือง"[44] สำหรับการแสดงภาพยนตร์เรื่องนี้ แฟรนโกได้รับรางวัลหนังอินดี้ยอดเยี่ยมแห่งสหรัฐอเมริกา ในสาขานักแสดงสมทบชายยอดเยี่ยม[45]

แหล่งที่มา

WikiPedia: เจมส์ แฟรนโก http://www.baltimoresun.com/topic/entertainment/ja... http://www.boxofficemojo.com/movies/?id=spiderman2... http://www.boxofficemojo.com/people/chart/?view=Ac... http://www.calendarlive.com/movies/la-et-milk26-20... http://www.calendarlive.com/movies/reviews/cl-et-t... http://www.cnn.com/SPECIALS/2002/emmys/print.ballo... http://www.contactmusic.com/news.nsf/article/franc... http://www.ew.com/ew/article/0,,255462,00.html http://www.ew.com/ew/article/0,,64610,00.html http://www.funnyordie.com/videos/ab25302c8e/james-...